อาการง่วงนอนทั้งวัน นอกจากจะทำให้ไม่สดชื่นแล้ว ยังส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพในการทำงานหรือการใช้ชีวิต หาสาเหตุของอาการง่วงนอนในระหว่างวันและวิธีแก้ไขที่เหมาะสม ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนทำให้ชีวิตยุ่งยากไปกว่าเดิม
เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยเกิดอาการง่วงนอนในระหว่างวัน ซึ่งความอ่อนเพลียที่ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนนั้นหลายคนมักเข้าใจว่าเกิดการนอนหลับไม่เพียงพอ ทั้งที่จริงแล้วอาการง่วงนอนระหว่างวันเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของตนเอง หรือเป็นผลกระทบจากปัญหาสุขภาพ โดยสาเหตุที่สามารถพบได้มีดังนี้
พฤติกรรมการใช้ชีวิต – พฤติกรรมบางอย่างที่เราทำเป็นประจำในทุก ๆ วันก็สามารถส่งผลให้เกิดอาการง่วงนอนในระหว่างวันได้ อย่างเช่น การนอนดึก ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอจนทำให้เกิดอาการง่วง นอกจากนี้ การนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ หรือต้องเปลี่ยนไปทำงานในเวลากลางคืนก็เป็นสาเหตุทำให้รู้สึกง่วงนอนทั้งวันได้เช่นกัน
ปัญหาสุขภาพจิต – การเปลี่ยนแปลงของสุขภาพจิตและอารมณ์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ โดยสาเหตุของอาการง่วงนอนส่วนใหญ่มักมาจากอาการเบื่อหน่าย ขณะที่ภาวะซึมเศร้าก็ส่งผลให้เกิดความอ่อนเพลียจนเป็นสาเหตุของอาการง่วงเหงาหาวนอน
ปัญหาสุขภาพ – ปัญหาสุขภาพบางอย่างก็สามารถก่อให้เกิดอาการง่วงนอนได้ ได้แก่
- โรคแพ้กลูเตน สำหรับคนที่แพ้โปรตีนกลูเตน หากรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนกลูเตนจะก่อให้เกิดอาการแพ้ที่อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ท้องเสีย และโลหิตจางได้ โดยอาหารที่มีโปรตีนกลูเตน ได้แก่ ขนมปัง เค้ก หรือซีเรียล
- โรคโลหิตจาง อาการง่วงนอนจากโรคโลหิตจางนั้นโดยส่วนใหญ่จะมาจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเมื่อธาตุชนิดนี้มีในร่างกายไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลียได้
- โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) คือโรคที่เกิดจากการอ่อนเพลียอย่างรุนแรงติดต่อกันมานานมากกว่า 6 เดือน โดยโรคนี้อาจก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ เช่น เจ็บคอ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดศีรษะเป็นต้น ทั้งนี้แพทย์มักจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคดังกล่าวก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรังและเมื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้วไม่พบความผิดปกติใด ๆ
- ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) เมื่อร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำลงกว่าปกติก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดอาการปวดเมื่อยและน้ำหนักลดด้วยเช่นกัน
- โรคติดเชื้ออีบีวี (Glandular Fever) หรือโมโนนิวคลีโอสิส (Mononucleosis) หนึ่งในโรคติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียจากไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ โดยแพทย์จะรักษาตามอาการและรอให้ร่างกายกำจัดเชื้อนี้ไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน แต่ก็อาจมีบางกรณีที่เกิดการติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาควบคู่กันไปด้วย
- โรคเบาหวาน อาการอ่อนเพลียเป็นหนึ่งในอาการของโรคเบาหวาน ซึ่งมีสาเหตุมาจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น รู้สึกกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย หรือน้ำหนักลดเป็นต้น
- กลุ่มอาการขาไม่อยู่สุข (Restless Legs Syndrome) อาการขาสั่น และอาการปวดขาที่เกิดในกลุ่มผู้ที่มีกลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข จนทำให้เกิดการนอนหลับไม่เพียงพอในเวลากลางคืน เมื่อนอนหลับไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียในระหว่างวันนั่นเอง
- โรคกังวลเกินเหตุ (Generalised Anxiety Disorder) ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน สามารถส่งผลให้กลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตได้ ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับ อีกทั้งยังทำให้รู้สึกเหนื่อยง่ายอีกด้วย
การใช้ยา – ยาบางชนิด อาทิ ยาแก้แพ้ ยากล่อมประสาท มีผลข้างเคียงในการใช้ คืออาจทำให้รู้สึกง่วงได้ โดยยาเหล่านี้จะมีคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำงานกับเครื่องจักรกลเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากเกิดอาการง่วงนอนทั้งวันขณะที่ใช้ยาเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากการใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือยาที่ได้รับมีปริมาณไม่เหมาะสมกับผู้ป่วย
นอกจากนี้ การใช้ยานอนหลับสามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ ทำให้เกิดอาการง่วงนอนระหว่างวัน สาเหตุก็เนื่องมาจากยานอนหลับจะเข้าไปรบกวนวงจรการนอนหลับจนทำให้เมื่อตื่นมาแล้วอาจรู้สึกไม่สดชื่น หรือง่วงนอนมากกว่าเดิมได้
ความผิดปกติด้านการนอนหลับ (Sleeping Disorder) – อาการง่วงนอนอย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคที่เกี่ยวกับการนอนหลับ โดยปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับที่ส่งผลต่ออาการง่วงนอนระหว่างวันอย่างชัดเจนคือ การหยุดหายใจระหว่างนอนหลับที่ทำให้ผู้ป่วยสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกจนทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ อีกทั้งยังมีโรคลมหลับ หรือปัญหานอนไม่หลับจากการเปลี่ยนเวลานอน ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่เต็มอิ่มจนทำให้เกิดอาการง่วงนอนระหว่างวันได้
ง่วงนอนแก้ไขอย่างไรให้ถูกวิธี ?
การงีบหลับเมื่อรู้สึกง่วงแม้จะช่วยให้ความง่วงลดลงไปได้ แต่ก็เป็นเพียงแค่การแก้ที่ปลายเหตุเท่านั้นเพราะในที่สุดแล้วก็จะกลับมามีอาการง่วงเหงาหาวนอนอีก ดังนั้นจึงควรแก้ไขที่ต้นเหตุจึงจะดีที่สุด โดยวิธีการกำจัดอาการง่วงนอนระหว่างวันให้หายขาดทำได้ดังนี้
เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการนอนหลับจะช่วยลดปัญหาง่วงนอนระหว่างวันได้ โดยจะทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ตื่นมาก็จะสดชื่น ซึ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถเริ่มง่าย ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น
- เคารพนาฬิกาชีวิตให้มากขึ้น คนเรามีนาฬิกาชีวิตด้วยกันทุกคน ซึ่งนาฬิกาชีวิตนี้จะคอยควบคุมการนอนหลับและการตื่นนอนของเรา อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวม หากเราฝืนและไม่พักผ่อนตามเวลาของนาฬิกาสุขภาพนี้ ก็จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย แต่อาการอ่อนเพลียนั้นลดลงได้ด้วยการพักผ่อนเมื่อรู้สึกเหนื่อย หลีกเลี่ยงการนอนหลับเมื่อไม่รู้สึกง่วงหรือเหนื่อย หากต้องการงีบหลับไม่ควรงีบหลับในช่วงตอนบ่ายแก่ ๆ อีกทั้งยังควรตื่นและเข้านอนให้ตรงเวลา ตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปรับแสงแดด ก็จะช่วยให้นาฬิกาชีวิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในห้องนอน การนอนหลับไม่เพียงพออาจมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมในการนอนไม่ดี ซึ่งสภาพแวดล้อมของห้องนอนที่ดีคือ มีที่นอนที่นอนหลับได้สบาย มีอุณหภูมิที่พอเหมาะ บรรยากาศในห้องต้องมืดสนิท และเงียบ อีกทั้งไม่ควรใช้ห้องนอนเพื่อการอื่นนอกจากการนอน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสารเสพติด ยานอนหลับหรือสารเสพติดบางชนิด จะทำให้การนอนหลับแย่ลง โดยการใช้ยานอนหลับจะทำให้วงจรการนอนไม่สมบูรณ์และทำให้ตื่นมาอ่อนเพลีย ส่วนบุหรี่ แม้จะช่วยผ่อนคลายได้แต่ก็ไปเร่งอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นจนทำให้ตื่นตัวและหลับได้ยาก ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะรบกวนรูปแบบการนอนโดยจะทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อย ๆ เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะทำให้รู้สึกไม่สดชื่นเท่าที่ควร
- ผ่อนคลายความเครียด ความเครียดคือหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ ดังนั้นจึงควรผ่อนคลายความเครียดลง ซึ่งทำได้หลากหลายวิธีเช่น การออกกำลังกายเบา ๆ การทำสมาธิ หรือการนวด จะช่วยผ่อนคลายลงได้
ออกกำลังกาย
เปลี่ยนความคิดไปได้เลยเรื่องที่ว่ายิ่งออกกำลังกายจะยิ่งทำให้ง่วง เพราะจริง ๆ แล้วการออกกำลังกายเป็นประจำเพียงวันละ 30 นาที สามารถช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น อีกทั้งยังกระตุ้นการเผาผลาญทำให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงมากขึ้นอีกด้วย
รับประทานให้บ่อยขึ้น
การรับประทานอาหารบ่อย ๆ ในปริมาณที่ไม่มาก จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานไปได้ตลอดทั้งวันโดยไม่อ่อนเพลียไปเสียก่อน แต่อาหารที่รับประทานก็ไม่ควรเป็นอาหารที่ในกลุ่มของหวานหรือมีน้ำตาลสูง เพราะแม้น้ำตาลจะทำให้สดชื่นแต่ก็ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ลองเปลี่ยนมาย่อยมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อใหญ่ ๆ เป็นวันละ 5-6 มื้อ และเปลี่ยนจากของว่างที่เป็นของขบเคี้ยวมาเป็นของว่างเพื่อสุขภาพ โดยรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะช่วยให้มีแรงสู้กับงานได้ตลอดทั้งวัน
ลดน้ำหนัก
น้ำหนักตัวที่มากขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายทำงานหนักขึ้นจนเกิดความอ่อนเพลียและง่วงนอนระหว่างวัน ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงสามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลียในระยะยาวได้ ทั้งนี้ก็ควรที่จะลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดน้ำหนักที่ไม่ได้รับการรับรองเพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ลดความเครียด
ความเครียดเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุดก็คือการผ่อนคลาย เมื่อความเครียดลดลงก็จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียน้อยลง อีกทั้งยังทำให้จิตใจสงบ และนอนหลับในเวลากลางคืนได้ดีขึ้น
ดื่มน้ำมาก ๆ
การได้รับน้ำอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นวิธีที่ช่วยได้ไม่น้อย แต่ก็ควรเป็นน้ำเปล่า เพราะหากเป็นเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ที่มีน้ำตาลสูง แม้จะสดชื่น แต่ก็จะทำให้อ่อนเพลียมากกว่าเดิมในภายหลังเช่นกัน
การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
ในกรณีอาการง่วงนอนทั้งวันยังไม่หายไปแม้จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้วก็ตาม การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการนอนหลับถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะอาการง่วงนอนที่ประสบอยู่นั้นอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึง
โดยในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะพยายามระบุสาเหตุของอาการง่วงนอนตลอดวันโดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ เช่น คุณภาพในการนอนหลับ การสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน อาการกรน นอกจากนี้แพทย์ยังอาจสอบถามว่าในแต่ละวันผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนบ่อยหรือไม่ จากนั้นแพทย์อาจให้ผู้ป่วยจดบันทึกอาการง่วงนอนและการนอนหลับของผู้ป่วย กิจกรรมที่ทำเมื่อรู้สึกง่วงในระหว่างวัน หากสาเหตุเกิดจากสุขภาพจิต แพทย์จะแนะนำให้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตหรือจิตแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
หากสาเหตุของอาการง่วงนอนทั้งวันเกิดจากการใช้ยา แพทย์อาจพิจารณาให้เปลี่ยนประเภทของยาหรือปรับปริมาณการใช้ยาใหม่จนกว่าอาการง่วงนอนจะหายไป โดยผู้ป่วยไม่สามารถหยุดหรือลดปริมาณยาได้หากไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์ และถ้าอาการง่วงนอนระหว่างวันนั้นกาจเกิดจากความผิดปกติด้านการนอนหลับ แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการตรวจการนอนหลับ เพื่อวินิจฉัยว่าปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับนั้นเกิดจากอะไร จากนั้นเมื่อได้ผลที่ชัดเจนแล้วก็จะทำการรักษาเพื่อทำให้การนอนหลับกลับมาเป็นปกติ ทว่าหากการตรวจวินิจฉัยขั้นแรกไม่สามารถระบุอาการง่วงนอนตลอดวันได้ ก็อาจจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ผลเลือด การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เพื่อมองหาการทำงานของสมองที่ผิดปกติเพื่อทำการรักษาต่อไป
อาการง่วงนอนไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลก แต่ควรใส่ใจให้มาก เพราะหากหลงคิดว่าเป็นแค่เพียงอาการง่วงทั่วไป บางทีปัญหาสุขภาพที่ส่งผลให้เกิดอาการง่วงนอนนั้นอาจจะเรื้อรังจนรักษาได้ยาก หรืออาจรักษาได้ไม่ทันการณ์ ซึ่งจะส่งผลเสียกับตัวเองมากกว่าหลายร้อยเท่า